บทความจากกองทัพสหรัฐ
อนุศาสนาจารย์กองทัพบกสหรัฐฯ ที่เห็นประโยชน์ของผู้คนและรับใช้ผู้อื่นก่อนตัวเอง
Selfless Service. Put the welfare of the nation, the Army, and your subordinates before your own.
(ปรารถนาให้ผู้อื่นดีกว่าตัวเองตามคาสอนทางพระพุทธศาสนา)
เขียนโดย ร้อยโท คาร์ลอส โกเมซ 4 มีนาคม 2024 (บทความต้นฉบับภาษาอังกฤษ กดตรงนี้)
แปลโดย ร้อยเอกสงรานต์ ไวยกา
จังหวัดระยอง, ประเทศไทย — ในวงสนทนา ของกลุ่มทหารที่มาจากไทย,บราซิลและอเมริกา ได้มีเรื่องที่สร้างเสียงหัวเราะแตกตื่นขึ้นภายในเต้นท์ ระหว่างการฝึกทางทหารที่เรียกว่า คอบร้าโกลด์ (Cobra Gold) ที่จัดขึ้นที่ประเทศไทย เมื่อวันที่ ๒๗ กุมภาพันธ์ ถึง วันที่ ๑๐ มีนาคม ๒๐๒๔ พวกเขาต่างมองไปที่ทหารชายใส่แว่นตา และใส่เครื่องแบบทหารบกสหรัฐ เรื่องราวทางทหารของเขาดูเหมือนจะเป็นจุดที่น่าสนใจในกลุ่มนี้เป็นแน่
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่น่าสนใจก็คือชีวิตของเขาก่อนที่จะมาเป็นทหารบกสหรัฐที่ทำให้คนทั้งหลายรุมเข้ามาฟัง
ร้อยเอกสงกรานต์ ไวยกา ไม่ได้เป็นอนุศาสนาจารย์อย่างที่เราเห็นทั่ว ๆ ไป บางคนอาจจะกล่าวว่า เขาไม่ได้เป็นเหมือนทหารทั่ว ๆ ไป ด้วยการเป็นทหารมาเป็นเวลา ๑๓ ปี และเคยบวชเป็นสามเณรและพระมา ๒๐ กว่าปี ก่อนที่จะมาสวมเครื่องแบบเป็นทหาร
ในขณะที่มาภาระกิจราชการทหารที่เรียกว่า คอบร้าโกลด์ (Cobra Gold) ที่บ้านเกิดเมืองนอนคือเมืองไทยนี้ อนุศาสน์ฯ ไวยกา (อเมริกันนิยมใช้นามสกุลเรียกแทนชื่อจริง) ได้ปฏิบัติภาระกิจโดยมุ่งถึงผู้คน (อื่น) เป็นอันดับแรกเป็นที่ตั้ง โดยเข้ามาสู่วงโคจรอย่างเต็มรูปแบบเหมือนกงล้อธรรมจักร์ซึ่งเป็นเครื่องหมายของพระพุทธศาสนาที่ประดับอยู่ที่หมวกทหารของเขา
บนเส้นทางเดินชีวิตของการรับใช้ผู้คนของอนุศาสน์ฯ ไวยกา เริ่มขึ้นในปี พ.ศ. 2528 ท่านได้เข้าบรรชาเป็นสามเณรเมื่ออายุได้ ๑๓ ปี และอีก ๘ ปีต่อมา ท่านก็ได้เข้าพิธีอุปสมบทเป็นพระภิกษุ ที่วัดราชนัดดารามวรวิหาร ซึ่งเป็นวัดในกรุงเทพมหานคร และ ท่านรับ ใช้สังคมในฐานะผู้นำฝ่ายจิตใจเป็นเวลา 12 ปี.
และด้วยความคิดที่มุ่งมั่นที่จะเผื่อแผ่พระธรรมคาสอนทางพระพุทธศาสนาต่อสาธารณะชน จึงส่งผลให้ท่านได้ไปประเทศสหรัฐอเมริกา
ความปรารถนาของท่านที่จะแบ่งปันคำสอนทางพุทธศาสนากับผู้อื่นที่กว้างขึ้นจึงนำท่านไปยังประเทศสหรัฐอเมริกา อนุศาสนฯ ไวยกา ใช้เวลาอีก 10 ปี อยู่ที่วัดพุทธานุสรณ์ในเมืองฟรีมอนต์ รัฐแคลิฟอร์เนีย และวัดนครธรรมซึ่งเป็นชุมชนกัมบูชา เพื่อรับใช้ชุมชนในเขตอ่าวซาน ฟรานซิสโก
ที่นี่เป็นจุดเริ่มต้นที่ท่านได้ใคร่ครวญถึงภารกิจต่อไปในชีวิตว่าจะไปในทิศทางไหน (หลังจากบวชมาเป็นเวลา ยี่สิบเอ็ดปี)
"ถ้าคุณสงวนพระสงฆ์ไว้แต่ในวัด ท่านเหล่านั้นจะเผยแพร่คาสอนของพระพุทธเจ้าไปทั่วโลกได้อย่างไร" อนุศาสน์ฯ ไวยกา กล่าว
"เอาจริง ๆ น่ะ ผมเพิ่งเกษียณ (จากการเป็นพระ)" อนุศาสน์ฯ ไวยกา กล่าวแบบล้อเล่นเกี่ยวกับการตัดสินใจของเขาที่จะออกจากชีวิตของพระสงฆ์ "ผมอยากลองอะไรที่แตกต่างจากสิ่งที่เป็นอยู่ แต่สามารถที่จะสานต่อประสบการณ์ของผม โดยไม่เปลี่ยนอัตลักษ์ตัวตนของผม (คือยังเป็นพระในจิตใจถึงแม้จะใส่ชุดฆราวาส)"
เมื่ออายุ 35 ปี ท่านลาสิกขาบทออกจากวงการสงฆ์และเข้าเรียนในวิทยาลัย ได้รับปริญญาระดับ ปวส ด้านการศึกษาและเทคโนโลยีสารสนเทศ
ท่านผ่านการเรียนเกี่ยวกับการเข้ามาเป็นอนุศาสนาจารย์ของกองทัพบกสหรัฐ และนั่นก็คือบทบาทหน้าที่ในชีวิตที่กลายมาเป็นสิ่งที่เด่นชัดอย่างแท้จริงโดยไม่มีข้อสงสัย อนุศาสน์ฯ ไวยกา ได้ดำเนินการบวชเป็นนักบวชแบบชาวบ้าน (Buddhist lay minister ตามระเบียบของการเป็นอนุศาสนาจารย์ของกองทัพอเมริกา เพราะว่าพระตามประเพณีบ้านเราไม่สามารถที่จะร่วมเป็นเจ้าพนักงานกับองค์กรณ์อื่น ๆ ที่ไม่ใช่พระพุทธศาสนา) โดยได้รับการบวชกับองค์กรพุทธที่เรียกว่า the International Order of Buddhist Ministers หรือเรียกชื่อย่อว่า IOBM. ในขณะที่เรียนในมหาวิทยาลัย ท่านได้เข้ารับการสาบานตนเป็นนายทหารยศร้อยตรีกับกองทัพบกสหรัฐในฐานะเป็นผู้สมัครเป็นอนุศาสนาจารย์ ในทหารกองหนุนของกองทัพบกสหรัฐ ในปี ค.ศ. 2011 พร้อมกับการเรียนปริญญาโททางด้านอนุศาสนาจารย์ทางศาสนาพุทธจากมหาวิทยาลัยเวส ในเมืองโรสมีด รัฐแคลิฟอร์เนีย (The University of the West, Rosemead, CA)
จากลูกหลานชาวเชียงราย ชาวไทย มาเป็นอาจารย์ประจำกองร้อย ของกองร้อยกรมการขนส่งที่ 53 ฐานทัพร่วมหลุยส์--แมคคอร์ด รัฐวอชิงตัน ที่นั่น อนุศาสน์ฯ ไวยกา มีหน้าที่ดูแลสวัสดิภาพทางด้านจิตใจและศีลธรรมจรรยาบรรณของทหารและครอบครัว ภารกิจที่เขายอมรับด้วยความตระหนักอย่างจริงจัง เช่นเดียวกับที่เขาได้ปฏิญาณตนเป็นนักบวชทางพระพุทธศาสนา.
ปรัชญาเบื้องหลังจุดมุ่งหมายของท่านมาจากอริยมรรคแปดประการ บทสรุปของการปฏิบัติของพระพุทธศาสนาที่เชื่อว่าจะนำไปสู่การปลดปล่อยทางจิตใจ ด้วยมรรคมีองค์แปด (ซึ่งเราสามารถที่จะเอามาประพฤติปฏิบัติได้ไม่ว่าจะเป็นพระหรือฆราวาส โดยปรับให้เข้ากับชีวิตของแต่ละสาขาอาชีพ) อนุศาสน์ฯ ไวยกา ได้อธิบายการปฏิบัติทั้ง 8 ประการดังนี้
๑. การตั้งใจไว้ชอบ หรือความเข้าใจที่ชอบหรือถูกต้อง ซึ่งจะนำมาซึ่งผลของการกระทำของเราเอง (ไม่ใช่ด้วยการบันดาลจากใครหรือสิ่งศักสิทธ์)
๒. การนึกคิดที่ชอบ ที่จะไม่เบียดตนเองและคนอื่นในทางเสียหายต่อตัวเองและคนอื่น
๓. การใช้คาพูดที่ชอบ เว้นจากการพูดที่ทาให้ตัวเองและคนอื่นเดือดร้อนจากคาพูดของเรา รู้จักการใช้คาพูดในทางที่สร้างสรรค์ (Right Communication)
๔. การกระทำที่ชอบ คือทำในสิ่งที่ไม่เบียดเบียนตนเองและคนอื่น
๕. การมีความพยายามที่ชอบ คือไม่ย่อท้อต่อชีวิต และหรืออุปสรรค์ต่าง ๆ ให้พยายามทำแต่ความดี
๖. การเลี้ยงชีพชอบ คือไม่เอารัดเอาเปรียบคนอื่น ประกอบสัมมาอาชีพ
๗. มีการเอาใจใส่จิตใจตัวเองให้มีสติและสัมปชัญญะ มีความระลึกรู้ได้ว่าตัวตนเป็นใคร และรู้สึกตัวว่าจะต้องทำตัวอย่างไร ไม่ให้อกุศลจิตเข้ามาครอบงาจิตใจ
๘. การมีความตั้งมั่นที่ชอบที่จะทาให้จิตใจตัวเองให้สงบและเข้าใจความจริงต่ออกุศที่เข้ามากระทบจิตใจ แล้วเราจะไม่มีความวิตกกังวล
ท่านมีความเชื่อว่าคำสอนทั้งหมดนี้สามารถที่จะเอามาประยุคต่อชีวิตประจำวันของผู้ปฏิบัติได้ ไม่ว่าคุณจะเป็นใคร (โดยไม่ว่าคุณจะเป็นพระ,ฆราวาส, จะนับถือศาสนาพุทธหรือไม่นับถือ) คุณก็จะประสบแต่ความสุขในชีวิต แต่เรื่องที่สาคัญที่สุดก็คือการมีความ เข้าใจที่ถูกต้อง
“แต่ถ้าคุณมีความเข้าใจผิด มีความเห็นผิดหรือมิจฉาทิฏฐิ ทุกอย่างที่เราจะทาก็จะไปในทางที่ผิด” อนุศาสน์ฯ ไวยกา กล่าว
และท่านยังกล่าวอีกว่า การที่เราจะเน้นในเรื่องของความมีสุขภาพที่ดีทางกายแล้ว แต่เรื่องของจิตใจ ความรู้สึกและในมุมมองของจิตวิญญาณก็มีความสาคัญไม่แพ้กัน ในมุมมองของท่านจะเป็นไปในแนวเดียวกันกับตำรายุทธศาสน์ที่กล่าวถึงการมีสุขภาพและความแข็งแรงทางด้านร่างกายและจิตใจ ของกองทัพบก ที่เน้นถึงความพร้อมทางด้านร่างกาย จิตใจ การนอนหลับที่เพียงพอและการกินอาหารที่มีประโยชน์
ท่านพูดตรง ๆ และด้วยความจริงใจว่า ท่านไม่ได้มาบังคับให้ใครมานับถือศาสนาพุทธ แต่เพียงเพื่อต้องการแบ่งปันให้ลองทางเลือกใหม่ในการดูแลทางด้านร่างกายและจิตใจ ท่านกล่าว (กับคนต่างชาติเสมอ) ว่า “คุณไม่ต้องเปลี่ยนสัญชาติของคุณเป็นคนไทย เพื่อจะมากินอาหารไทย หรือคุณไม่ต้องเปลี่ยนสัญชาติคุณเป็นคนญี่ปุ่นเพื่อที่จะกินชูชิ แต่มันเป็นเรื่องของการลองสิ่งใหม่ ๆ ว่ามันจะให้เราได้รับสิ่งที่ดีมีประโยชน์ต่อเราอย่างไร ในแง่ของอาหาร”
อนุศาสน์ฯ ไวยกา ทำงานให้กับผู้บังคับบัญชาด้วยการจัดเอาโปรแกรมหลาย ๆ อย่าง ตลอดถึงกิจกรรมที่มุ่งเป้าไปในสิ่งที่จะเพิ่มพูนของการมีสุขภาพดี เช่น การเอาศิลปะมวยไทยผสมผสานกับโยคะ, สมาธิที่ไม่ได้เน้นในเรื่องของศาสนา (Secular mindfulness/meditation) การให้คำปรึกษาโดยใช้หลักศาสนาของตน (พุทธ) และการทำพิธีกรรมทางศาสนาพุทธ เช่น การแต่งงาน และการทาพิธีของศาสนาอื่นที่ไม่ใช่ของศาสนาพุทธ (ซึ่งจะต้องอยู่ในภาวะฉุกเฉินที่ไม่สามารถหาอนุศาสนาจารย์ของศาสนานั้นได้)
ท่านทิ้งท้ายกว่าว่า “ผมสนับสนุนเรื่องของบุคคล (การพัฒนาคนและดูแลความสุขทุกข์ของคน) มากกว่าภาระกิจอื่น สิ่งนี้คือสิ่งที่ผมจะทาเพื่อการดำรงชีวิต”
US Army chaplain puts people, service to others first
By Lt. Carlos GomezMarch 4, 2024
RAYONG PROVINCE, Thailand — A table of military personnel from Thailand, Brazil and the U.S. erupt in laughter beneath a tent during exercise Cobra Gold, taking place in the Kingdom of Thailand from Feb. 27 to March 10, 2024. They’re focused on a man in glasses sporting a U.S. Army uniform. His military stories seem to be a hit with this crowd.
However, it’s his life before the Army that really draws them in.
Capt. Songkran Waiyaka isn’t your average chaplain. Some might even say he isn’t the average Soldier or service member. The 13-year veteran already had a 20-plus year career as a Buddhist monk before ever putting on a battle dress uniform.
While in his native Thailand for exercise Cobra Gold, Waiyaka continues his mission of putting people first, coming full circle like the Buddhist wheel that adorns his military cover.
Waiyaka’s journey of service to people began in 1985 when he was ordained as a Buddhist samanera, a novice monk, at only 13 years old. Eight years later, he became a fully ordained monk at Wat Ratchanatdaram — a Thai Buddhist temple — in Bangkok. There, he served as a spiritual leader for 12 years.
His desire to share the Buddhist teachings with a wider audience led him to the United States.
Waiyaka would go on to spend another 10 years at the Wat Buddhanusorn temple in Fremont, California, serving communities in the San Francisco Bay area.
It was there where he pondered his next mission in life.
“If you keep a Buddhist monk in a monastery, how are they going to spread the Buddha’s teachings to the world?” Waiyaka said.
“Basically, I just retired,” Waiyaka said, joking about his decision to leave the life of a monk. “I wanted to try something different and be able to carry on my experience without changing my identity.”
At 35-years-old, he left monkhood and enrolled in college, earning degrees in education and information technology.
He learned about the Army’s chaplain program and that’s when his next role in life became clear to him. Waiyaka embarked on becoming ordained as a Buddhist lay minister by the International Order of Buddhist Ministers. While in seminary, he direct commissioned into the U.S. Army Chaplain Candidate Program as a second lieutenant in the Army Reserve in 2011. To finalize his education, he again enrolled in seminary to earn a Master of Divinity in Buddhist Chaplaincy from the University of the West in Rosemead, California.
The Chiangrai, Thailand native now serves as the battalion chaplain for the 53rd Transportation Battalion out of Joint Base Lewis-McChord Washington. There, Waiyaka is responsible for tending to his Soldiers and their Families’ spiritual and moral wellbeing; a mission he accepts with the same solemnity he took his monastic vows.
The philosophy behind his purpose draws from the Noble Eightfold Path, a summary of Buddhist practices believed to lead to spiritual liberation, represented by an eight-spoke wheel.
Waiyaka explains the eight practices as:
- The right mindset, or understanding, holding that our actions have consequences,
- The right thought, resolving toward non-violence and avoiding violent and hateful behavior,
- The right speech, refraining from lying or rude speech,
- The right action, refraining from injuring or harming others,
- The right effort,
- The right livelihood,
- The right mindfulness, keeping unwholesome thoughts from permeating the mind, and
- The right concentration, which includes meditation.
He believes all these practices can be applied to what we do in our daily lives; most above all the right mindset.
“If you have the wrong mindset, everything is going to go wrong,” Waiyaka said.
There is much focus on the physical aspect of health, but the mental, emotional, and spiritual aspects are just as important, he said. His views on this are aligned with the Army’s Holistic Health and Fitness doctrine encompassing physical, spiritual, mental, sleep and nutritional readiness.
The chaplain makes it clear, he’s not there to convert anyone to Buddhism, but simply offer another way to holistic wellbeing.
“You don’t have to be Thai to enjoy Thai food. You don’t have to be Japanese to enjoy sushi,” he said. “It’s all about trying and taking in what works for you.”
Waiyaka serves his command by providing a variety of programs and activities aimed at increasing all these aspects of health, to include: "Muay Thai Yoga;" mindfulness physical training; pastoral counseling; and religious services and ceremonies, such as weddings and final rites.
“I promote people first,” Waiyaka said. “This is what I’m going to do for a living.